เข้าค่ายอุโบสถศีล เป็นครั้งที่ 3 ในค่ายครั้งที่ 4 นี้ ยังคงติดใจอยู่ ยังไม่คิดจะเลิก เพราะไม่ได้จัดกันทุกวัน เขาจัดกันเดือนละครั้ง ครั้งละ 2 วันซึ่งก็เข้าร่วมกิจกรรมได้ตามอัธยาสัย คือเรียนรู้อย่างอิสระนั่นแหละ เขาก็เปิดช่องทางเอื้อให้เราเรียนรู้ เราก็ตามไปเรียนรู้ สนุกดีครับ
ในการเข้าร่วมค่ายครั้งที่ 3 ของผมครั้งนี้ มีเวลาเข้าร่วมน้อยมาก เพราะตรงกับวันไปรวมญาติ ซึ่งตอนแรกก็คิด ๆ ว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี แต่สุดท้ายก็จบตรงที่ไป เพราะกิเลสกับการรวมญาติก็เป็นเรื่องที่ท้าทายเช่นกัน แถมค่ายออนไลน์เราก็ตามดูย้อนหลัง เก็บตกจากเพื่อน ๆ ที่คอยสรุปประเด็นให้ก็ได้เหมือนกัน ฝึกพรากบ้างก็ดีเหมือนกัน
ในวันสุดท้ายของค่ายซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ ก็แยกย้ายกับกิจกรรมครอบครัวแล้ว ขับรถตรงกลับบ้าน แต่ไม่ทันเวลา ถึงเวลาเริ่มกิจกรรมแล้ว เรายังอยู่บนถนน มีแวบหนึ่งของจิตมันจะวางแบบโง่ ๆ ว่า ยังไม่พร้อมพูดเลยไม่เข้า ว่าแล้วก็คิดอีกอย่างคือเข้าไปก็บอกท่านนั่นแหละว่าเราไม่สะดวกพูด ก็ฟังไปขับรถไป สุดท้ายถึงบ้านยังเหลือเวลาอีกพักหนึ่ง ก็ได้พูด ได้ถาม ได้ร่วมกิจกรรมอยู่บ้าง
เข้ากลุ่มวันนี้ ได้เข้าห้องท่านสมณะดินไท ฐานิโย เป็นการสุ่มจากทีมงาน ว่าเขาจะจัดสรรให้เราเข้าห้องไหนก็เป็นไปตามที่เขาเห็นว่าเหมาะ แต่ถ้าเราอยากจะเข้าห้องไหนเป็นพิเศษเราก็สามารถแจ้งทีมงานผู้รับใช้ได้เช่นกัน
สรุปค่าย
ในตอนท้ายของกิจกรรม ก็มีการสรุปค่าย เราก็ประมาณดูว่าควรพูดดีไหม และพูดอะไร ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะพูดอะไร แต่ดูสัญญาณแล้วไม่ค่อยมีคนพูด ทีมงานก็เชิญชวน เราก็ปรุงเรื่องที่เราจะพูด ว่าแล้วก็ยกมือรอคิว แล้วก็แบ่งปันสภาวธรรม ซึ่งการพูดนี่ก็มีประโยชน์มากทั้งด้านกุศล และด้านบุญ คือเอาไว้ดูกิเลสตัวเองนี่แหละ พูดดีมีคนชม ลอยไหม? พูดดี เขาเงียบ หดหู่ไหม? พูดผิด มีคนทัก ใจเสียไหม ? สารพัดลีลากิเลสที่เราจะได้เจอตามเหตุปัจจัยที่สังเคราะห์ขึ้นตามบารมีร่วม(ทั้งหมู่)